วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขาดคุณสมบัติรับราชการเรียกเงินเดือนคืนได้หรือไม่?
จำเลยรับราชการเป็นพนักงานของโจทก์และโจทก์จ่ายเงินเดือนให้แก่จำเลยถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนตอบแทนการทำงานเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของจำเลยที่จะได้รับจากการทำงานของตน ภายหลังพบว่าจำเลยเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นผู้สอบแข่งขันได้ เป็นเพียงเรื่องที่จำเลยขาดคุณสมบัติในการเข้ารับราชการเป็นเหตุให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยได้เท่านั้น หาเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยมีสิทธิได้รับโดยชอบด้วยกฎหมายในระหว่างที่ยังเป็นพนักงานของโจทก์คืนจากจำเลยไม่ เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยได้รับจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยได้รับมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และต้องคืนเงินนั้นให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้

 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2170/2556

องค์การบริหารส่วนตำบลลำคอหงษ์             โจทก์
นายบัญศาสตร์ _________________     จำเลย
 

 
          โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเข้ารับราชการเป็นพนักงานส่วนตำบลในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับ 3 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 ประกอบมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 และกฎ ก.พ. ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2538) ข้อ 2 ประกอบมติคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครราชสีมาไม่ได้มีความผูกพันกันตามกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมสัญญา จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการเลิกสัญญาและกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ

            จำเลยเข้ารับราชการเป็นพนักงานของโจทก์และปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตลอดมา การที่โจทก์จ่ายเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้แก่จำเลย ถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่เป็นพนักงานของโจทก์ ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของจำเลยที่จะได้รับจากการทำงานของตน ขณะเดียวกันโจทก์ก็ได้รับผลแห่งการงานที่จำเลยได้กระทำในระหว่างที่เป็นพนักงานของโจทก์เป็นการตอบแทนด้วย แม้ภายหลังคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครนายกจะตรวจสอบพบว่าจำเลยเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นผู้สอบแข่งขันได้ ก็เป็นเพียงเรื่องที่จำเลยขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามความประสงค์ของโจทก์ในการรับบุคคลเข้ารับราชการอันเป็นเหตุให้โจทก์เลิกจ้างหรือให้จำเลยพ้นจากราชการได้เท่านั้น หาเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยมีสิทธิได้รับโดยชอบด้วยกฎหมายในระหว่างที่ยังเป็นพนักงานของโจทก์คืนจากจำเลยไม่ เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยได้รับจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยได้รับมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และต้องคืนเงินนั้นให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้
 
________________________________
 
            โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 173,230.20 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
          โจทก์ฎีกา

            ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังว่า โจทก์บรรจุแต่งตั้งให้จำเลยเข้ารับราชการในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับ 3 อัตราเงินเดือน 7,630 บาท โดยใช้บัญชีรายชื่อผู้สอบแข่งขันเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้เป็นพนักงานส่วนตำบลขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหญ่ จังหวัดนครนายก จำเลยโอนย้ายไปดำรงตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับ 3 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนพะยอม อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ต่อมาอำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ขอให้โจทก์ตรวจสอบการใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหญ่ว่ามีชื่อจำเลยเป็นผู้สอบแข่งขันได้จริงหรือไม่ โจทก์มีหนังสือขอให้คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครนายกตรวจสอบ ผลปรากฏว่าไม่มีชื่อจำเลยเป็นผู้สอบแข่งขันได้ โจทก์แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยและแจ้งให้จำเลยคืนเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยได้รับระหว่างรับราชการกับโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย

        มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องคืนเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยได้รับระหว่างรับราชการกับโจทก์ให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อเป็นผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุได้ตามประกาศรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้เป็นพนักงานส่วนตำบลขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหญ่ จำเลยจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะเข้ารับราชการกับโจทก์ตั้งแต่แรก การที่โจทก์จ่ายเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่จำเลยก็สืบเนื่องจากหลงผิดในคุณสมบัติของจำเลย เมื่อโจทก์ทราบความจริงก็ได้ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งทางแพ่งและอาญา ถือได้ว่าโจทก์แสดงเจตนาใช้สิทธิยกเลิกนิติกรรมสัญญากับจำเลยแล้ว คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยทำงานกับโจทก์โดยไม่สุจริตและโจทก์จ่ายเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่จำเลยจึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จำเลยจึงต้องคืนเงินเต็มจำนวนแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 หาใช่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ เห็นว่า การที่โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเข้ารับราชการเป็นพนักงานส่วนตำบลในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับ 3 เป็นการแต่งตั้งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 ประกอบมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และกฎ ก.พ. ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2538) ข้อ 2 ประกอบมติคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครราชสีมา ครั้งที่ 8/2550 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2550 ไม่ได้มีความผูกพันกันตามกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมสัญญา จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการเลิกสัญญาและกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ตามที่โจทก์ฎีกาได้ คดีนี้ จำเลยเข้ารับราชการเป็นพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2550 และปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ตลอดมา การที่โจทก์จ่ายเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้แก่จำเลย ถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่เป็นพนักงานของโจทก์ ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของจำเลยที่จะได้รับจากการทำงานของตน ขณะเดียวกันโจทก์ก็ได้รับผลแห่งการงานที่จำเลยได้กระทำในระหว่างที่เป็นพนักงานของโจทก์เป็นการตอบแทนด้วย แม้ภายหลังคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดนครนายกจะตรวจสอบพบว่าจำเลยเป็นผู้ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นผู้สอบแข่งขันได้ ก็เป็นเพียงเรื่องที่จำเลยขาดคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามความประสงค์ของโจทก์ในการรับบุคคลเข้ารับราชการกับโจทก์ ต่อมาจำเลยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์ ซึ่งหากจำเลยยังไม่ลาออก การขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็เป็นเพียงเหตุให้โจทก์เลิกจ้างหรือให้จำเลยพ้นจากราชการได้เท่านั้น หาเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ที่จำเลยมีสิทธิได้รับโดยชอบด้วยกฎหมายในระหว่างที่ยังเป็นพนักงานของโจทก์คืนจากจำเลยไม่ เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่จำเลยได้รับจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยได้รับมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และต้องคืนเงินนั้นให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
 
 
( พศวัจณ์ กนกนาก - อภิรัตน์ ลัดพลี - ธงชัย เสนามนตรี )
 
ศาลแขวงนครราชสีมา - นายยงยุทธ โสพิลา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 - นางปิยนุช จรูญรัตนา
 
ป.พ.พ. 

มาตรา 406  บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใด เพราะการที่บุคคลอีกคนหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ก็ดี หรือได้มาด้วยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเสียเปรียบไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นจำต้องคืนทรัพย์ให้แก่เขา อนึ่งการรับสภาพหนี้สินว่ามีอยู่หรือหาไม่นั้น ท่านก็ให้ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วย
บทบัญญัติอันนี้ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณีที่ได้ทรัพย์มา เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมิได้มีได้เป็นขึ้น หรือเป็นเหตุที่ได้สิ้นสุดไปเสียก่อนแล้วนั้นด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น